
มิติสี่ด้านของการใช้ชีวิต
สิ่งที่คุณไม่อาจมองเห็นมันมีพลังมากกว่าสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตามาก นี่คือกฏของธรรมชาติ สิ่งที่อยู่ใต้พื้นดินสร้างสิ่งที่อยู่บนพื้น และสิ่งที่เรามองไม่เห็นทำให้เกิดสิ่งที่เรามองเห็น มนุษย์เราต่างก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่มีใครอยู่เหนือธรรมชาติได้ ผลก็คือเมื่อเราคล้อยตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติและให้ความสนใจกับส่วนราก ซึ่งก็คือ “ภาวะภายในตัวเรา” ชีวิตเราก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่น ตรงกันข้ามหากเราไม่ทำเช่นนั้น ชีวิตอาจพบกับความยากลำบาก
สิ่งที่อยู่ใต้พื้นดินต่างหากที่สร้างสรรค์สิ่งที่อยู่เหนือพื้นดิน แล้วนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้การที่ผู้คนเพ่งเล็งความสนใจไปที่ผลไม้จึงไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงครับ “ เราเปลี่ยนผลไม้ที่อยู่บนต้นแล้วไม่ได้ “ แต่เรา “ เปลี่ยนแปลงอนาคตของผลไม้ได้ “ ด้วยการขุดลึกลงไปในดิน แล้วทำให้ต้นไม้ของเราสมบูรณ์และแข็งแรงจากตรงจุดนี้
โดยธรรมชาติแล้ว คนเราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่บนมิติเพียงมิติเดียวแค่นั้น แต่ใช้ชีวิตบนบนมิติสี่ด้านเป็นอย่างน้อย มิติทั้งสี่ด้านนี้ได้แก่
- ด้านวัตถุ (Physical)
- ด้านความคิด (Mental)
- ด้านอารมณ์ (Emotional)
- ด้านจิตใจ (Spiritual )
ประเด็นคือ หลายคนไม่เคยรู้เลยว่า สิ่งที่ปรากฏออกมาในด้านวัตถุนั้น เป็นเพียงแค่ “ ผลิตผล “ จากมิติอีก 3 ด้านที่เหลือ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เมื่อคุณพิมพ์จดหมายลงในคอมพิวเตอร์แล้วกดสั่งพิมพ์ออกมา เมื่อตรวจดูสิ่งพิมพ์ปรากฏว่ามีจุดที่พิมพ์ผิดอยู่ คุณจึงหยิบยางลบออกมาลบจุดที่ผิดออก เสร็จแล้วก็สั่งพิมพ์ใหม่อีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังผิดตรงจุดเดิมๆอยู่ดี ! ใช่… แล้วคุณก็เอายางลบอย่างดีขึ้นมาถูลบด้วยความแรง และนานขึ้นอีก.. แล้วจึงกดปุ่มสั่งพิมพ์ใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังเกิดความผิดพลาดแบบเดิมขึ้นอีก ! … มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ความจริงก็คือ ปัญหาที่แท้จริงไม่สามารถแก้ไขได้จากกระดาษ หรือมิติด้านวัตถุ ที่พรินต์ออกมาหรอกครับ ‘’ ‘ แต่มันจะถูกแก้ไขได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่โปรแกรมเท่านั้น.. และโปรแกรมนี่เอง..คือมิติด้านความคิด มิติด้านอารมณ์ และมิติด้านจิตใจนั่นเอง …
เงินคือผลลัพธ์ ความร่ำรวยมั่งคั่งคือผลลัพธ์ สุขภาพที่ดีคือผลลัพธ์ พวกเราทุกคนล้วนอยู่ในโลกของเหตุและผล
“เงินเป็นเรื่องขี้ประติ๋ว” เคยได้ยินอะไรทำนองนี้บ้างมั๊ยครับ ? การไม่มีเงินไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่มันเป็นอาการที่บ่งบอกถึงปัญหาที่ซ่อนอยู่ภายใน
การไม่มีเงินคือผลลัพธ์ แล้วอะไรล่ะที่เป็นสาเหตุ ? หนทางเดียวที่จะเปลี่ยนแปงโลกภายนอกของคุณก็คือ การเปลี่ยนแปลงโลกภายในของคุณเสียก่อน.. ไม่ว่าผลลัพธ์ของคุณตอนนี้จะเป็นเช่นไร โปรดระลึกไว้เสมอว่า “ โลกภายนอกของคุณเป็นเพียงภาพสะท้อนโลกภายในเท่านั้น “ แปลง่ายๆว่า ถ้าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นนอกตัวคุณไม่ได้เป็นไปด้วยดี นั่นเป็นเพราะ สิ่งต่างๆภายในตัวคุณก็ไม่ได้เป็นไปด้วยดีเช่นเดียวกัน…
การประกาศเจตจำนง คือ เคล็ดลับอันทรงพลังที่จะนำคุณไปสู่การเปลี่ยนแปลง
อะไรคือ เจตจำนง? มันคือ ประโยคในแง่บวกที่เราพูดออกมาดังๆ มันเป็นเครื่องมือที่สำคัญ เพราะอะไรหรือ ? เพราะทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนเกิดจากสิ่งเดียว ก็คือ พลังงาน พลังงานทุกชนิดจะเคลื่อนที่ในคลื่นความถี่และการสั่นสะเทือน ดังนั้นแต่เจตจำนงที่คุณประกาศออกมามันจะส่งคลื่นสั่นสะเทือนของมันออกมาด้วย สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งร่างกาย และมันยังส่งสารที่ทรงพลังเข้าสู่จิตใต้สำนึกอีกด้วย
การประกาศเจตจำนงกับการกล่าวยืนยัน มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การประกาศเจตจำนงไม่ใช่การกล่าวว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นจริงหรอกครับ ไม่ใช่การโกหก แต่เป็นเพียงการแถลงว่าเรามีเจตนาที่จะทำอะไรบางสิ่งบางอย่าง… เสียงเล็กๆในหัวเราจะไม่รู้สึกโต้แย้ง เพราะเราไม่ได้กล่าวว่ามันเกิดขึ้นแล้วจริงๆในตอนนี้ แต่เป็นเจตนาที่เราจะก้าวไปให้ถึงในอนาคต
หลังจากที่ประกาศเจตจำนงไปแล้ว คุณต้องกระทำการ..ใช่แล้วครับ! แปลว่าลงมือ.. คุณต้องทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำ เพื่อให้เจตนากลายเป็นความจริงด้วยใจมุ่งมั่น ผมแนะนำให้คุณประกาศเจตจำนงในทุกๆวันครับ
กด Next เพื่ออ่านต่อ..