
ตับแข็งไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอลล์อย่างเดียวนะ
“แย่เเล้ว! หมอบอกว่าเป็นตับแข็ง ทำไงดี?” ทำไมเป็นอย่างนั้นไปได้? อายุก็ยังไม่เท่าไหร่ แค่สามสิบกว่าๆเท่านั้น เป็นไปได้ยังไงเนี่ย? อะไรเป็นสาเหตุ? และเราสามารถรักษาให้มันหายขาดได้มั๊ย? แล้วจะตายมั๊ย…ทำไงดี?
ถ้าคุณหรือคนใกล้ชิดเป็นคนหนึ่งที่มีคำถามแบบนี้ เนื้อหาข้างล่างนี้อาจช่วยให้คุณได้ไอเดียครับ
ตับ เป็นอวัยวะของร่างกายชิ้นหนึ่งที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่อยู่บริเวณใต้ชายโครงขวา ซึ่งเวลาแพทย์จะตรวจดูตับจะให้เรานอนหงาย หายใจเข้าออกลึกๆและใช้มือคลำบริเวณใต้ชายโครงขวา
ตับมีหน้าที่หลายอย่าง ทั้งในการสร้างสรรค์สารต่างๆที่จำเป็น เช่น โปรตีนอัลบูมิน สารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือดที่เรียกว่า coagulation factors
สร้างน้ำย่อยหลายๆชนิด เท่านั้นยังไม่พอตับยังทำหน้าที่ในการทำลายสารพิษต่างๆ ที่ร่างกายรับเข้าไปจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจากการกินหรือเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีการอื่น
เช่น การฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือหลอดเลือด เวลาเกิด ตับแข็ง ตับมักจะเล็กลงกว่าปกติ แต่เวลาเกิดตับอักเสบ ตับจะมีขนาดโตขึ้น
ตับแข็ง
โรคที่รู้จักกันทั่วไปคือ โรคตับแข็ง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นจากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ กระแช่ หรือแม้แต่ยาดอง ถ้าดื่มในปริมาณมากเป็นระยะเวลานานๆ
ปัญหาที่จะเกิดขึ้นคือภาวะตับแข็ง อาการที่ปรากฏโดยทั่วไปสำหรับ ตับแข็ง คือ ตัวเหลือง ตาเหลือง ที่ชาวบ้านเรียกว่า ดีซ่าน เกิดจากการที่ตับถูกทำร้ายด้วยแอลกอฮอล์จนเกิดการอักเสบซ้ำๆ
ส่วนใหญ่ถ้าเกิดภาวะตับแข็งแล้ว ตับจะเสียแล้วเสียเลย จะให้หายหรือดีขึ้นคงยาก
สิ่งที่ทำได้คือ พยายามให้มันทรงสภาพเดิมอยู่ให้ได้ ไม่ให้แย่ลงกว่าที่เป็นอยู่ อย่างไรก็ตามภาวะ ตับแข็ง อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ไม่เฉพาะจากการดื่มแอลกอฮอล์เสมอไป
เช่น การได้รับสารพิษ สารเคมีบางชนิด เช่น คาร์บอนเตตระคลอไรด์ การติดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบบีหรือซี
ตับนั้นเป็นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบเลือดหลายอย่าง เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่เคยเป็นแหล่งสร้างเม็ดเลือดมาก่อน(ตอนที่อยู่ในท้องแม่) จะสร้างไขกระดูกเมื่อคลอดออกมาแล้ว
หรืออย่างภาวะดีซ่านที่อาจสามารถปรากฏให้เห็นได้ในกรณีที่มีเม็ดเลือดแดงแตกโดยที่ไม่ได้เป็นโรคตับเลย แต่เกิดจากสาร Bilirubin ที่เกิดขึ้นมีสีเหลือง แล้วไปจับที่บริเวณตาขวาและผิวหนัง
หรือกรณีที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดหรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ก็สามารถทำให้ตับโตขึ้นมาได้เช่นกัน
โรคธาลัสซีเมีย ถือเป็นโรคโลหิตจางทางพันธุกรรมที่พบมากเป็นอันดับ1 ของประเทศ สามารถทำให้ตับโต รวมทั้งทำให้เกิดภาวะดีซ่านได้จากการที่มีเม็ดเลือดแดงแตกมากๆเป็นเวลานานๆ
ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากเม็ดเลือดแดงมีรูปร่างหน้าตาผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถคงสภาพความเป็นเม็ดเลือดเท่ากับเซลล์ที่ปกติได้ การแตกของเม็ดเลือดนี้เองยังก่อให้เกิดปัญหาอีกหลายอย่าง
เนื่องจากในเม็ดเลือดแดงมีสารหลายอย่างอยู่ภายใน เช่น สาร bilirubin การสะสมมากๆอาจทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ มีสารโฟลิคที่จำเป็นในการสร้างสารพันธุกรรม
ถ้ามีการแตกมากๆร่างกายก็ต้องการโฟลิคในปริมาณที่มากขึ้น การแตกของเม็ดเลือดมีสารอีกอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาก็คือ ธาตุเหล็ก
เหล็ก เป็นโลหะหนักที่ร่างกายต้องการ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเม็ดเลือดแดง อยู่ในส่วนประกอบที่เรียกว่าฮีโมโกลบิน ซึ่งจะเป็นตัวที่จับกับออกซิเจน และเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเอ็นไซม์และเซลล์หลายชนิด
การแตกของเม็ดเลือดแดงจะทำให้ธาตุเหล็กที่อยู่ภายในออกมาในกระแสเลือด ปัญหาที่สำคัญก็คือร่างกายมีกระบวนการในการกำจัดธาตุเหล็กที่มีมากเกินไปได้ในปริมาณที่จำกัด และเมื่อมีการสะสมธาตุเหล็กมากๆ ร่างกายก็จะเกิดปัญหาได้หลายอย่าง
อวัยวะหลักที่ธาตุเหล็กจะไปสะสมคือ ม้ามและตับ การที่เหล็กไปสะสมที่มามากๆ ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหากับร่างกายมากนัก แต่ถ้าเหล็กไปสะสมที่ตับมากๆ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นคือ เกิดภาวะตับแข็งขึ้น
เหมือนกับตับแข็งที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มากๆเช่นกัน จะมีอาการดีซ่าน มีน้ำในช่องท้องและช่องปอด หากเป็นมากๆก็จะมีท้องโต บวมน้ำเป็นต้น (ซึ่งแตกต่างจากโฟลิค พอเม็ดเลือดแตกก็จะมีการสลายและกำจัดออกไปทางปัสสาวะหมด จึงต้องมีการรับประทานเพิ่มเข้าไป)
ธาตุเหล็กที่มีมากเกินความต้องการของร่างกายเนื่องจากไม่สามารถกำจัดเพราะปริมาณที่มากเกิน ไม่ใช่ว่าจะสะสมที่ตับและม้ามเพียงเท่านั้นมันยังไปสะสมที่ตับอ่อน หัวใจ และที่บริเวณผิวหนังได้ด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลยครับเวลาที่เหล็กไปสะสมที่ตับอ่อนปัญหาที่เกิดขึ้นคือ จะเกิดการทำลายของเซลล์ของตับอ่อนบางชนิดจนเกิดโรคเบาหวาน เนื่องจากเซลล์ไม่สามารถสร้างอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ใช้ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ทำให้น้ำตาลไม่สามารถถูกนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานภายในได้
ธาตุเหล็ก ถ้าสะสมที่หัวใจมากๆปัญหาที่เกิดตามมาคือ กล้ามเนื้อหัวใจจะถูกทำลาย และไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ ความยืดหยุ่นของหัวใจเสียไป ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
และอาจมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจได้ ทำให้ผิวหนังมีสีดำเข้ม เป็นมัน และถ้าสะสมมากๆก็จะทำให้เกิดแผลเรื้อรังบริเวณขาและหน้าแข้ง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเลือดไปเลี้ยงน้อย
แผลไม่ยอมหายสักทีรักษากันเป็นปีๆบางครั้งยังไม่หายเลย หากเกิดการติดเชื้อที่รุนแรง อาจถึงขั้นตัดขาทิ้ง หรืออาจเสียชีวิตได้หากมีการติดเชื้อในกระแสเลือด
แต่การรักษาปัจจุบันคือ พยายามให้ยาขับธาตุเหล็กออกจากร่างกายให้มากที่สุด และพยายามหลีกเลี่ยงการได้รับเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยา หรือการให้เลือดที่จะทำให้มีการสะสมของเหล็กมากเกินไป
การรักษาปลูกถ่ายหรือเปลี่ยตับนั้นพอทำได้ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว ฉะนั้นแทนที่จะต้องมาจ่ายค่ารักษาที่แสนแพงเราจึงควรหันมาดูแลรักษาตับของเราไว้ย่อมดีกว่า
บทความที่น่าสนใจ
- มะเร็งตับ สุดยอดโรคร้ายที่ควรระวัง
- ไฟโตวี่ลีฟ PHYTOVY LIV ล้างพิษตับและดีท็อกซ์ลำไส้
- ไขมันพอกตับ เสี่ยงกับมะเร็ง