FAQ, เป็นเบาหวาน

รู้แล้วหนาว เราเสี่ยง ‘เป็นเบาหวาน’ มากแค่ไหน

%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%99-risk-diabetes

คนไทยเสี่ยง ‘เป็นเบาหวาน’ มากจนน่าตกใจ

สำหรับคนที่มีสุขภาพแข็งแรง เมื่อกินอาหารเข้าไปอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตจะถูกย่อยเป็นน้ำตาล และน้ำตาลที่ได้รับในแต่ละมื้อก็จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดเพื่อนำไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ

เมื่อน้ำตาลไปถึงอวัยวะใดก็ต้องใช้อินซูลินที่สร้างจากตับอ่อนเพื่อให้เซลล์ในอวัยวะนั้นสามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้ น้ำตาลในเลือดก็จะอยู่ในระดับที่เหมาะสม แต่สำหรับคนที่ป่วยเป็นเบาหวาน ก็จะมีปัญหาเรื่องการนำน้ำตาลในเลือดไปใช้

ส่งผลให้มีน้ำตาลตกค้างอยู่ในกระแสเลือดมากเกินไป จนสร้างปัญหาให้กับร่างกายมากมาย

คนเป็นเบาหวานจะมีปัญหาน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ

เบาหวานเกิดจากอะไร

เบาหวาน เกิดจากการที่ร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลินหรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับฮอร์โมนอินซูลินหรือทั้ง 2 อย่าง ทำให้เซลล์ของอวัยวะต่างๆนำน้ำตาลในเลือดเข้าไปใช้ไม่ได้หรือได้น้อย จนส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ(สูงกว่า 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร)

โดยโรคเบาหวานที่พบเป็นส่วนใหญ่แบ่งออกเป็น 2 ชนิด

  • เบาหวานชนิดที่ 1 เป็นเบาหวานที่เกิดจากการที่ตับอ่อนถูกทำลายทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ตามปกติ
  • เบาหวานชนิดที่ 2 เบาหวานชนิดนี้ตับอ่อนยังคงสามารถผลิตอินซูลินได้ตามปกติ แต่เซลล์ต่างๆของร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ไม่สามารถนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ได้

คนอ้วนมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานได้

โดยเฉพาะคนที่อ้วนหรือมีไขมันมาก(ทั้งเด็กและผู้ใหญ่) จะมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานชนิดนี้ เพราะไขมันมีฐานะเป็นเสมือนต่อมไร้ท่อชนิดหนึ่งที่สะสมในร่างกาย

สามารถหลั่งฮอร์โมนที่มีคุณสมบัติยับยั้งการทำงานของอินซูลิน(เบาหวานที่พบในเด็กมักจะเป็นเบาหวานชนิดนี้)

ความน่ากลัวของเบาหวาน

โดยตัวของโรคเบาหวานเองก็มีความน่ากลัวในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้โรคเบาหวานมีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้นก็คือ ผู้ป่วยจะเป็นอีกหลายโรคตามมาโดยเฉพาะโรคเรื้อรัง

คนที่เป็นโรคเบาหวานมีอัตราเสี่ยงจะเป็นโรคหัวใจได้สูงกว่าคนทั่วไป เพราะน้ำตาลในกระแสเลือด จะทำให้หลอดเลือดหัวใจเสื่อมหรืออุดตัน ในขณะเดียวกันน้ำตาลในเลือดยังทำลายเส้นประสาทบริเวณหัวใจทำให้ไม่รู้สึกเจ็บป่วยในตอนที่โรคหัวใจกำเริบทำให้ช่วยชีวิตไม่ทัน

คนเป็นเบาหวาน เสี่ยงเป็นโรคหัวใจวาย

หรืออาจจะเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายอย่างเฉียบพลัน

นอกจากนี้คนที่เป็นโรคเบาหวานยังมีแนวโน้มที่จะมีระดับ LDL คอเลสเตอรอลสูงกว่าคนปกติ ทำให้มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นโรคไขมันในเลือดสูงและความดันสูงอีกด้วย

โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง ความดันสูง มักจะถูกเรียกว่าโรคเบาหวานและผองเพื่อน เพราะคนที่เป็นเบาหวานมักจะเป็นอีก 3 โรคด้วยเสมอ (และคนที่เป็นโรคใดโรคหนึ่งก็มักจะเป็น 3 โรคตามมา)

นอกจาก 3 โรคนี้แล้ว ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานก็จะเป็นโรคอื่นๆตามมาอีกมากมาย เพราะน้ำตาลในกระแสเลือดที่มากเกินไปก็สามารถทำให้หลอดเลือดในอวัยวะส่วนอื่นเสียไปด้วย ส่งผลให้อวัยวะต่างๆทำงานบกพร่องหรือเสียหายได้

คนเป็นเบาหวานขึ้นตา เสี่ยงตาบอด

เช่น ถ้าเบาหวานมีผลต่อหลอดเลือดที่ตาก็จะทำให้ตาบอดได้ (20 เปอร์เซ็นต์ของคนที่เป็นเบาหวานเสี่ยงตาบอด) ถ้าเป็นที่ไตก็เกิดไตวาย (40% ของผู้ป่วยเบาหวานไตจะเสื่อม)

หรือถ้าเบาหวานส่งผลที่สมอง ก็จะทำให้สมองและเส้นประสาทตายเกิดเป็นอัมพาตได้ หรือหากเป็นแผลก็จะหายยากและมีโอกาสลุกลามทำให้สูญเสียอวัยวะนั้นไปได้ ถึงตรงนี้รู้หรือยังว่าโรคเบาหวานน่ากลัวแค่ไหน?

คนติดหวานก็เสี่ยง

ประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งที่เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องก็คือ คนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงไม่ได้หมายถึงแค่ผู้ป่วยเบาหวานเท่านั้น แต่หมายรวมถึงคนที่ชอบกินขนมหวาน

ชอบกินขนมหวาน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง

ผลไม้หวาน น้ำหวาน น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต ขนมปัง ขนมขบเคี้ยว คุกกี้ปริมาณมากเป็นประจำด้วย (คนติดคาร์โบไฮเดรต หรือติดหวาน) เพราะคนกลุ่มนี้ก็จะมีน้ำตาลในเลือดสูงอยู่เกือบตลอดเวลา

ทำให้เลือดเหนียวข้นขึ้น เลือดไหลช้าลง นำสารอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ช้าลง ประสิทธิภาพในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อจะลดลง เส้นเลือดฝอยตีบตันได้ง่าย ส่งผลให้หลอดเลือดและอวัยวะเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างจากคนที่เป็นเบาหวานเท่าไหร่เลย

ที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้ว่าการกินหวานกินคาร์โบไฮเดรตมาก จะไม่ได้ทำให้เป็นโรคเบาหวานโดยตรง แต่การที่ร่างกายได้รับน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตมากเกินเป็นประจำ

ตับอ่อนก็จะทำงานหนักในการผลิตอินซูลิน เมื่อรวมกับผลจากการที่มีน้ำตาลในกระแสเลือดสูง หลอดเลือดที่ตับอ่อนและตัวตับอ่อนเอง ก็จะเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็จะกลาย เป็นเบาหวาน อยู่ดี

การกินแป้ง กินหวานมากเกินไป เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน

นอกจากนี้คนที่ชอบกินอาหารหวานก็จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน เพราะตับอ่อนต้องทำงานหนักในการผลิตอินซูลิน มีการวิจัยว่าคนที่ชอบกินอาหารที่ใส่น้ำตาล

เช่น ชา กาแฟหรือธัญญาหาร วันละ 5-6 มื้อมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนมากกว่าคนที่ไม่ใส่น้ำตาลถึง 69% ในขณะที่ผู้ที่ชอบดื่มน้ำอัดลมวันละ 2 หนหรือมากกว่านั้น

มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับอ่อนมากกว่าคนที่ไม่ดื่มถึง 93% ผู้ที่ชอบกินผลไม้หวานๆหรือผลไม้กวนก็เสี่ยงมากกว่าคนปกติ 51%

นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ชอบกินคาร์โบไฮเดรต กินหวานบ่อยๆ ความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายจะเสียไป ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดต่ำลง ผลที่ตามมาก็คือทำให้ติดเชื้อได้ง่าย

ทานน้ำตาลมากเกินไปทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมน

อีกทั้งการกินน้ำตาลซูโครส(น้ำตาลทราย น้ำหวาน)มาก จะทำให้กรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตฟาน ถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไปทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมองส่งผลให้เกิดอาการเซื่องซึม เหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง

ซึ่งในเด็กก็จะทำให้เรียนไม่รู้เรื่องและหากเป็นวัยทำงานก็จะทำงานไม่มีประสิทธิภาพ

ส่วนคนที่กินหวานหรือคาร์โบไฮเดรตมากๆในระยะเวลาสั้นๆหรือกินอาหารที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้เร็ว เจอระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจำนวนมากเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด

ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ระดับน้ำตาลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้จะทำให้สมองและระบบประสาททำงานผิดเพี้ยนไปจนมีอาการหงุดหงิด หิวโซ ใจสั่น ไม่มีแรง

รู้สึกอ่อนล้า เพลีย หงุดหงิด ไม่มีแรง

นอกจากนี้หากเรากินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป จะทำให้มีน้ำตาลส่วนเกินในเลือดมากเกินความต้องการ ร่างกายก็จะมีการเปลี่ยนน้ำตาลให้กลายเป็นไขมันสะสมทำให้อ้วนขึ้น

และน้ำตาลส่วนเกินนั้นยังจับกับโปรตีนในร่างกายทำให้หลอดเลือดมีโอกาสอักเสบและอุดตันได้ การกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปจึงสามารถส่งผลร้ายต่อโรคไขมันในเลือด และโรคหัวใจได้อีกด้วย

ถึงตรงนี้หลายคนคงได้รู้ความจริงแล้วว่า การกินคาร์โบไฮเดรต(โดยเฉพาะน้ำตาล)มากเกินไป มีผลเสียต่อร่างกายของเรามากมายมหาศาลขนาดไหน?

อย่ารอให้เป็น(แล้วจะเสียใจ)

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในบรรดาผู้ป่วยเบาหวานมีแค่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รู้ว่าเป็น ที่เหลือก็ไม่รู้เพราะไม่ได้ไปหาหมอ ส่วนใหญ่จะไปพบแพทย์ก็ต่อเมื่อเป็นหนักแล้ว

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ในปัจจุบันแม้แต่เด็กก็สามารถเป็นโรคเบาหวานได้แล้ว โรคนี้จึงใกล้ตัวเราและคนในครอบครัวมากกว่าที่เราคิดกัน

เด็กก็สามารถเป็นโรคเบาหวานได้

คนที่ป่วย เป็นเบาหวาน จะต้องกินยาหรือฉีดอินซูลินเพื่อรักษาระดับน้ำตาลไปเรื่อยๆจนกว่าระดับน้ำตาลจะดีขึ้น(ถ้าหยุดแล้วระดับน้ำตาลกลับมาใหม่ก็ต้องทำเหมือนเดิม)

และมักจะต้องกินยามากขึ้นเรื่อยๆ และรอให้เป็นโรคอื่นๆเพิ่มขึ้นทีละโรค (รวมทั้งมีโอกาสเป็นโรคไตเพราะกินยามากเกิน)

เวลาที่มีบาดแผลก็หายากหากดูแลไม่ดีแผลนั้นก็จะลุกลามไปเรื่อยๆจนต้องตัดอวัยวะนั้นทิ้ง(คนไทยที่เป็นเบาหวานแล้วต้องถูกตัดขามีมากถึงปีละ 40,000 คนทีเดียว)

โดยอาจจะเสียค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดขา รักษาและดูแลแผลในโรงพยาบาลประมาณ 1 ล้านบาทเลยทีเดียว การ เป็นเบาหวาน หรือมีคนในครอบครัวเป็นเบาหวานนั้น มีแต่ความทุกข์ ฉะนั้นป้องกันตัวเองและคนในครอบครัวเสียตั้งแต่วันนี้จะได้ไม่เสียใจภายหลัง

ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสถูกตัดอวัยวะได้ง่าย เช่น ตัดขาจากการติดเชื้อ

ต้นเหตุที่ทำให้ ‘เป็นเบาหวาน’

1. กินข้าวขาว มีผลงานวิจัยจากฮาร์วาร์ด ว่าการกินข้าวขาวมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อสุขภาพและเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากขึ้นถึง 11% และความเสี่ยงนั้นจะเพิ่มมากขึ้นถ้ากินข้าวขาวมากขึ้น

เนื่องจากอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตอย่างข้าวขาว แป้งขนมปังจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว(เปลี่ยนเป็นกลูโคสได้เร็ว)ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคเบาหวาน

การทานข้าวขาวอาจส่งผลให้เป็นโรคเบาหวาน

2. บริโภคน้ำตาลเกิน องค์การอนามัยโลกระบุเอาไว้ว่าร่างกายเราควรรับน้ำตาลประมาณวันละ 6 ช้อนชา(ประมาณ 23-25 กรัม)หรือสูงสุดไม่เกิน 10 ช้อนชาแต่ในปัจจุบันคนไทยกินน้ำตาลมากขึ้น

โดยส่วนหนึ่งกินน้ำตาลโดยตรงจากการปรุงอาหาร(ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ้ว) ส่วนหนึ่งกินโดยตรงจากกาแฟ โอวัลติน ส่วนหนึ่งได้รับน้ำตาลจากของหวานที่กิน เช่น บัวลอย ขนมไทย

ซึ่งเพียงแค่ 3 ส่วนนี้เราก็ได้รับน้ำตาลใกล้เคียงหรือมากกว่า 6 ช้อนชาแล้ว ในขณะเดียวกันเรายังได้รับน้ำตาลที่อยู่ในเครื่องดื่มในรูปแบบต่างๆอีก เช่น น้ำอัดลม น้ำส้มคั้น โอเลี้ยง น้ำหวาน นมข้นหวาน ผลไม้กระป๋อง

การทานน้ำอัดลมทำให้ได้รับน้ำตาลเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ

ที่น่าตกใจก็คือเครื่องดื่มบางชนิดแค่ 1 ขวดก็ทำให้เราได้รับน้ำตาลเกินแล้วเช่น ชาเขียวรสน้ำผึ้ง มีน้ำตาล 50 ช้อน ชาเขียวผสมนมมีน้ำตาล 42 ช้อนชา ชานมหรือชาเย็นขนาดมีน้ำตาล 25 ช้อนชา ชาดำเย็นมีน้ำตาล 15.3 ช้อนชา

อาหารประเภทเบเกอรี่หรือเค้กนั้น ก็มักจะมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบสำคัญโดยเค้ก 1 ชิ้นมีน้ำตาลผสมอยู่ลาว 6-12 ช้อนชา ในเค้ก 1 ปอนด์ใช้น้ำตาทรายขาว 25-30 ช้อนชา

นอกจากนี้ คุกกี้ 1 ชิ้นอันมีน้ำตาลสูงถึง 10 กรัม(เพียงแค่ 3 ชิ้นก็ได้น้ำตาลเกินแล้ว) ส่วนไอศครีมเพียง 1 ก้อน 70-80 กรัมก็จะให้น้ำตาลประมาณ 15 กรัม(กินเพียง 2 ก้อนก็ได้น้ำตาลเกินแล้ว)

ไอศครีมมีปริมาณของน้ำตาลจำนวนมาก

ถ้าเราลองทบทวนดูตามตัวอย่างที่ยกมาว่า “เรากินอะไรกันบ้างในแต่ละวัน” ยังไม่รวมคาร์โบไฮเดรตจากมันฝรั่ง ของขบเคี้ยว ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สถิติระบุว่าโดยเฉลี่ยแล้วคนไทยกินน้ำตาลคนละ 30 กิโลกรัมต่อคนต่อปี

หรือเกือบ 20 ช้อนชา/วัน ซึ่งเทียบกับระดับที่เหมาะสมที่ 6-10 ช้อนชาก็แปลว่าโดยเฉลี่ยคนไทยกินน้ำตาลมากกว่าระดับที่เหมาะสมถึง 2-3 เท่าเลย

คนไทยเป็นเบาหวานมากขึ้น

จากข้อมูลการกินข้าวขาวและกินน้ำตาลที่ผ่านมา(ยังไม่รวมน้ำตาลจากผลไม้ของขบเคี้ยวและคาร์โบไฮเดรตในรูปแบบอื่น) ก็คงเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่าเหตุใดคนไทยจึงป่วยเป็นโรคเบาหวานมากขึ้นกว่าอดีตเป็นอย่างมาก

และทำให้ป่วยเป็นโรคเรื้อรังอื่นๆตามมาอีกมากมายทั้ง ความดันสูง หลอดเลือดและหัวใจตีบตัน โรคไต ในเวลาเพียงแค่ 24 ปี(พ.ศ 2528-2552) คนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นกว่า 2,200 %( 22 เท่า)

คนไทยป่วยเป็นเบาหวานกันมากขึ้นทุกปี

เบาหวานป้องกันหรือบรรเทาได้

ถ้าเรานำผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมาออกกำลังกายควบคุมอาหาร(เช่น ลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต)และลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี พบว่าจะสามารถป้องกันโรคเบาหวานได้ถึง 58% ทีเดียว

โดยให้กินคาร์โบไฮเดรตเนื่องจากร่างกายต้องใช้กลูโคสเป็นพลังงาน แต่ให้เลือกกินคาร์โบไฮเดรตประเภทที่มีสารอาหารประเภทอื่นด้วย(ไม่ได้มีแต่คาร์โบไฮเดรตเพียงอย่างเดียว)

และเป็นชนิดที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ช้า เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด ขนมปังธัญพืช ถั่วและธัญพืชต่างๆ เพราะคาร์โบไฮเดรตประเภทนี้ร่างกายจะค่อยๆย่อยและดูดซึมไปใช้

ข้าวกล้องเหมาะสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน

ส่วนพวกน้ำหวาน น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต น้ำชาเขียวผสมน้ำตาล ก็ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนี้เช่นกันเพราะมีสัดส่วนของน้ำตาลที่สูงเกินไป

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พึงระวังก็คือ คนที่พยายามหลีกเลี่ยงขนมหวานแต่ไม่ตระหนักถึงอันตรายของผลไม้หวาน เช่น ทุเรียน สับปะรด ลำไย ส้ม องุ่น กล้วย แล้วกินเป็นประจำก็ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลเกินอยู่ดี

ถ้าอยากกินผลไม้แนะนำให้กินผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยอเช่น แอปเปิ้ลเขียว ผลไม้ที่มีความหวานมากก็กินได้แต่อย่ากินบ่อยมาก(สัปดาห์ละ 1-2 อย่างก็พอ)

ควรทานผลไม้เป็นประจำ

การควบคุมอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตนอกจากจะป้องกันและบรรเทาโรคเบาหวานแล้วการลดคาร์โบไฮเดรตในอาหารยังช่วยชะลอความชราด้วย เพราะน้ำตาลจะจับตัวกับโปรตีนและทำปฏิกิริยาจนเกิดสารที่ชื่อ AGE

ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของเนื้อเยื่อทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและยังส่งผลต่อโครงสร้างของหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแข็งตัวไม่ยืดหยุ่นด้วย รู้อย่างนี้แล้ว

มาเริ่มต้นควบคุมการกินคาร์โบไฮเดรต&น้ำตาลตั้งแต่วันนี้กันเถอะ เพื่อสุขภาพที่ดี ความอ่อนเยาว์ และลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงอันน่าสะพรึงทั้งหลาย

ควบคุมการกินคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลเพื่อสุขภาพที่ดี

บทความที่น่าสนใจ

error: do not copy content!!