FAQ, ทอนซิลอักเสบ

เจ็บคอบ่อย…อาจเพราะ “ทอนซิลอักเสบ”

%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%8b%e0%b8%b4%e0%b8%a5%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%9a-sore-throat-tonsil

ทอนซิลอักเสบ

ส่งผลให้เจ็บคอ กลืนลำบาก

“เจ็บคอจัง” เป็นอาการที่หลายๆคนคงเคยเป็นมาก่อน และอาจสงสัยว่าเป็นอะไรทำไมแค่กลืนน้ำลายก็เจ็บคอ คุณรู้หรือไม่ว่าอาการเหล่านี้ อาจจะเป็นเพราะ ทอนซิลอักเสบ !!

ต่อมทอนซิล (tonsil) เป็นกลุ่มของเนื้อเยื่อประเภทต่อมน้ำเหลือง มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ภายในต่อมมีเม็ดเลือดขาวหลายชนิด มีหน้าที่หลักคือ จับและทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายทางทางเดินอาหาร

ทอนซิลอักเสบ ต่อมทอนซิลข่วยดักจับเชื้อโรค

หน้าที่รองลงมาคือสร้างภูมิคุ้มกัน โดยต่อมทอนซิลพบได้หลายตำแหน่ง ตอนที่เราเห็นจะอยู่ด้านข้างของช่องปาก มีชื่อเรียกว่า พาลาทีนทอนซิล(Palatine tonsil)นอกจากนั้นต่อมทอนซิลยังพบได้บริเวณโคนลิ้น (lingual tonsil) และช่องหลังโพรงจมูก (adenoid tonsil)

ทอนซิลอักเสบ (ponsillitis) เป็นภาวะอักเสบของต่อมทอนซิล ส่วนคออักเสบ(pharyngitis) มักใช้เรียกภาวะอักเสบของเนื้อเยื่อในลำคอที่อยู่บริเวณหลังช่องปากเข้าไป บางครั้งภาวะทั้งสองก็อาจเกิดพร้อมกันได้

ส่วนใหญ่แล้วโรคต่อมทอนซิลพบมากที่สุดในเด็กอายุก่อน 10 ปี เพราะหลัง 10 ปีไปแล้ว ต่อมทอนซิลจะทำงานน้อยลงหรือไม่ทำงานเลย แต่ในผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกว่า 20 ปี ก็ยังเป็น ต่อมทอนซิลอักเสบ ได้

เด็กมีไข้และตัวร้อน

ส่วนใหญ่มักจะไม่พบ ต่อมทอนซิลอักเสบ ในคนไข้วัยกลางคนไปแล้ว ผู้ป่วยที่มีทอนซิลอักเสบเฉียบพลันจะมีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ กลืนลำบากโดยเฉพาะเวลากลืนอาหารจะเจ็บมาก

คนไข้เด็กจะมีอาการน้ำลายไหลเพราะกลืนลำบาก แล้วน้ำลายจะไหลลงไปไม่ได้จึงไหลออกมา หรือคนไข้เจ็บคอมากๆ อาจมีอาการอาเจียนหลังจากกินอาหาร เพราะการกินอาหารจะรบกวนลำคอที่เจ็บอยู่

สาเหตุของทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน

ต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย เชื้อราหรือเชื้อวัณโรคพบได้น้อย โรคทอนซิลอักเสบเฉียบพลันในเด็กมาจะเกิดจากเชื้อไวรัส และติดต่อกันได้ง่ายเพราะไม่รู้จักการป้องกัน

ผู้หญิงมีอาการไอ

การติดต่อเกิดจากการหายใจ ไอ จาม  หรือใช้ภาชนะที่รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำร่วมกัน ส่วนต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลันในเด็กโตและผู้ใหญ่มาเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

การรักษาทอนซิลอักเสบ

ปกติแพทย์จะให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาบรรเทาอาการเจ็บคอ ยาลดน้ำมูก หรือ ยาลดไข้ ให้ยาต้านจุลชีพหรือยาแก้อักเสบเพื่อกำจัดเชื้อต้นเหตุ ถ้าการอักเสบนั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรียและควรรับประทานยาดังกล่าวให้นานพอเช่น 7-10 วัน

ซึ่งในปัจจุบันยาในกลุ่มเพนนิซิลิน(penicillin)ยังใช้ได้ผลดี ยกเว้นเชื้อบางกลุ่มที่พบว่าดื้อยาแล้ว แพทย์จึงจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่แรงขึ้น บางคนเจ็บคอมากจนกินอาหารไม่ได้และมีไข้สูง

การรักษาโรคด้วยการฉีดยา

แพทย์อาจแนะนำให้นอนพักรักษาในโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือและยาต้านจุลชีพทางหลอดเลือดดำ จึงจะทำให้อาการทุเลาดีขึ้นเร็วกว่าการให้ยากลับไปรับประทานที่บ้าน

หากพิจารณาว่ามีสาเหตุมาจากไวรัสก็จะให้ยาตามอาการเท่านั้น เพราะยาต้านจุลชีพไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้

ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอาการอักเสบของต่อมทอนซิล อาจจะกระจายกว้างออกไปจนเกิดเป็นหนองบริเวณรอบต่อมทอนซิล(peritonsillar  abscess) แล้วอาจลุกลามผ่านช่องคอ เข้าสู่ช่องปอดและหัวใจได้

อวัยวะปอดภายในร่างกาย

นอกจากนั้นเชื้อแบคทีเรียอาจเข้ากระแสเลือดแล้วกระจายไปทั่วร่างกายซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายอย่างมาก เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ส่วน ต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อสเตรปโตคอคคัส (strepetococcus)  สามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนของโรคหัวใจและโรคไตได้

การพิจารณาตัดต่อมทอนซิล

โดยทั่วไป แพทย์จะพิจารณาตัดต่อมทอนซิลเมื่อ

  • เป็นภาวะ ต่อมทอนซิลอักเสบ เรื้อรังที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือเกิดอาการอักเสบปีละหลายครั้งหลายปีติดต่อกัน ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง เช่น ต้องขาดงาน หรือขาดเรียนบ่อย

การนอนกรนเสียงดัง แสดงถึงความเสี่ยงเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

  • เมื่อต่อมทอนซิลโตมากๆ ทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ และมีอาการนอนกรน และ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับตามมา
  • ผู้ป่วยที่มีต่อมทอนซิลโตและแพทย์สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งต่อมทอนซิลโดยตรง หรือมีมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ แล้วหาตำแหน่งมะเร็งต้นเหตุไม่เจอ แต่ถ้าสงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งที่มาจากต่อมทอนซิล

การผ่าตัดต่อมทอนซิลออก เป็นการกำจัดไม่ให้ต่อมทอนซิลติดเชื้อบ่อย สำหรับผู้เด็กทางเดินหายใจก็จะโล่งขึ้นด้วย ในการตัดต่อมทอนซิลทิ้งไม่มีข้อเสียถ้าตัดทิ้งตามข้อบ่งชี้ที่ถูกต้องและเหมาะสม

การรักษาโรคด้วยการผ่าตัด

เนื่องจากต่อมทอนซิลที่ตัดทิ้งมักจะเป็นต่อมที่ไม่ทำงานแล้ว จึงไม่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรค แต่จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคแทน

นอกจากนี้ยังมีต่อมน้ำเหลืองในช่องคออีกมากมายที่กำจัดเชื้อโรคแทนต่อมทอนซิลได้ การผ่าตัดต่อมทอนซิลออกจึงไม่ได้ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายหรือช่องปากลดลงแต่อย่างใด

หากเป็นต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลันบ่อยๆต่อมทอนซิลจะโตขึ้น แล้วเปลี่ยนสภาพเป็นแบบเรื้อรัง และอาจมีการอักเสบเฉียบพลันเป็นๆหายๆได้ การที่ต่อมทอนซิลโตจะทำให้เกิดร่องหรือซอก ซึ่งเศษอาหารเข้าไปตกค้างอยู่ได้ทำให้เกิดการอักเสบยืดเยื้อออกไป

การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องของผู้ป่วยมีส่วนทำให้อาการดีขึ้นเร็ว

  • ถ้ามีอาการเจ็บคอหรือระคายคอร่วมด้วย ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊กหรือข้าวต้มที่ไม่ร้อนจนเกินไป
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดหรือรสจัด

ผัดกะเพราหมู อาหารรสจัด เผ็ด

  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการใช้เสียงชั่วคราว
  • ควรพยายามทำความสะอาดคอบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารด้วยการแปรงฟันหรือกลั้วคอด้วยน้ํายาบ้วนปาก น้ำเกลืออุ่นๆ หรือน้ำเปล่าหลังอาหารทุกมื้อ

การดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ ควรดื่มให้เพียงพอและเหมาะสม

เนื่องจากการไม่รักษาความสะอาดในช่องปากให้ดีอาจมีเศษอาหารตกค้างในช่องปากและลำคอทำให้อักเสบมากขึ้นได้

การเลือกน้ำยาบ้วนปากสำหรับผู้ป่วยทอนซิลอักเสบ

น้ำยาบ้วนปากจะช่วยลดปริมาณของเชื้อแบคทีเรียได้บ้าง(ชั่วคราว) ในรายที่มีการอักเสบติดเชื้อบริเวณคอ น้ำยาบ้วนปากบางชนิดอาจมีส่วนผสมของยาลดการอักเสบหรือยาชา ช่วยลดอาการเจ็บคอได้

ควรเลือกชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือมีน้อยที่สุดเพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องปาก บางอย่างก็มีส่วนผสมของกรด ก็จะทำให้ผิวฟันกร่อน

เคลือบฟันบางลง และเกิดอาการเสียวฟันตามมาได้ ถ้าใช้แล้วรู้สึกว่ามีอาการเจ็บคอหรือระคายคอมากขึ้น ที่สำคัญควรใช้ในปริมาณที่พอเหมาะและนานพอสมควร

น้ำยาบ้วนปากสูตรแบมบูชาร์โคล
benfite mouth wash น้ำยาบ้วนปากแก้ปากเหม็นบทความที่น่าสนใจ

error: do not copy content!!