ไม่อยากมีอาการดื้อยา…ควรทาน ยาแก้อักเสบ อย่างไร?
เชื่อหรือไม่ว่าทุกคนมีสิทธิ์ดื้อยาได้ถ้ากินไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาปฏิชีวนะ(Antibiotic)หรือ ยาแก้อักเสบ ซึ่งในบางรายที่ไม่ศึกษาข้อบ่งชี้การกินยาอย่างละเอียด
การกินยามากไป กินไม่ครบตามที่หมอสั่ง กระทั่งการซื้อยากินเอง ซึ่งอาจจะไม่ถูกกับโรค ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณดื้อยาได้ทั้งนั้น การดื้อยาปฏิชีวนะจะทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไป
จุดเริ่มของการดื้อยา
เรารู้กันดีว่ายาไม่ใช่อาหาร แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เห็นว่ายาบางชนิดมีความจำเป็นเช่นเดียวกับอาหาร เพราะสามารถป้องกันการเจ็บป่วยเบื้องต้นได้เช่น รู้สึกไม่สบาย มีไข้ขึ้นสูง และไอหนัก
ไปซื้อยาแก้ไข้กับยาแก้ไอมากินเองอยู่สามวัน แต่อาการไม่ดีขึ้น แถมคราวนี้มีอาการหอบเพิ่มด้วย ก็เลยไปหาหมอที่คลินิก หมอวินิจฉัยว่าน่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
ก็ให้ ยาแก้อักเสบ มากินพร้อมกับยาแก้ปวด แก้ไข้ แก้ไอ กินผ่านไปสักสามสี่วันรู้สึกว่าไข้ลดลง อาการหอบหายไป และไม่ไอหนักเหมือนเก่า ก็คิดว่าเราน่าจะหายแล้ว เลยตัดสินใจหยุดยา…
ทิ้งช่วงอยู่สัก 2 อาทิตย์อาการเดิมกลับมาอีก คราวนี้ไข้ขึ้นสูงมาก ปวดหัวจนน้ำตาไหล เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีอาการหายใจเร็วขึ้น หอบจนตัวโยน เลยเอายาที่เหลือมากินต่อจนหมดก็ไม่หาย
ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยตัดสินใจไปโรงพยาบาลเพื่อให้หมอตรวจอย่างละเอียด หลังจากซักถามประวัติเอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะและเลือดอย่างละเอียด หมอวินิจฉัยว่าดิฉันเป็นโรคปอดอักเสบ ต้องรับยาปฏิชีวนะและนอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการอย่างน้อย 2-3วัน
นอนโรงพยาบาลได้หนึ่งวัน แต่อาการกลับไม่ทุเลา และมีอาการอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียในปอดเพิ่มขึ้น ซึ่งหลังจากหมอตรวจผลการเพาะเชื้อโดยละเอียดก็บอกว่า ร่างกายไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาแก้อักเสบที่หมอให้ ต้องเปลี่ยนยาตัวใหม่แทน
ทำไมจึงเกิดการดื้อยา(ในเคสนี้)
ในช่วงที่รับประทานยาแก้อักเสบ ยาจะเข้าไปทำลายหรือหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด เช่น สมมติว่าร่างกายเราในขณะนั้นมีเชื้อแบคทีเรียอยู่ประมาณหนึ่งหมื่นตัว ยาจะเข้าไปทำลายเชื้อแบคทีเรียให้ลดลงจนเหลือหนึ่งพันตัวเป็นต้น
ระหว่างที่ยาปฏิชีวนะทำลายเชื้อแบคทีเรีย ตัวแบคทีเรียเองก็จะมีการต่อต้านเช่น พยายามสร้างกลไกไม่ให้ยาซึมผ่านเข้าไป หรือสร้างเอ็นไซม์ขึ้นมาเพื่อทำลายฤทธิ์ยาที่เข้ามานั้นๆ
ถ้าเรากินยาตามแพทย์สั่งจนครบจะทำให้เชื้อแบคทีเรียลดจำนวนลงจนตายหมดทุกตัว จนทำให้ไม่มีเชื้อแบคทีเรียที่เคยรับรู้ว่ายาชนิดนี้เคยทำลายมันได้หมดไป แต่ถ้าเราหยุดกินยาหรือกินยาไปแค่สองสามวัน พออาการดีขึ้นก็หยุดยาทันที
จะทำให้เชื้อแบคทีเรียที่เหลืออยู่เริ่มรับรู้ว่ามียาที่สามารถทำลายมันได้ มันก็เริ่มจะสร้างกลไกปกป้องตัวเอง ด้วยเหตุนี้พอเรากลับมาป่วยเป็นโรคเดิมอีก การกินยาตัวเดิมจึงรักษาไม่ได้ เพราะร่างกายเกิดการดื้อยาไปแล้ว
นอกจากนี้การกินยาไม่ถูกกับโรค ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ร่างกายของเราดื้อยาได้ เพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจผิด คิดว่าเวลาไปหาหมอต้องขอยาปฏิชีวนะหรือที่ชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นยาแก้อักเสบมากินควบคู่กันไปโรคถึงจะหายขาด
ทั้งที่ความจริงไม่จำเป็นต้องกิน รวมถึงการซื้อยามากินเองก็อาจส่งผลให้เกิดการดื้อยาได้ เพราะยาที่ซื้อมาอาจไม่ตรงกับเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของการป่วย เช่น ป่วยจากโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส แต่ไปซื้อยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
แบบนี้พอกินเข้าไปก็รักษาไม่หาย และมีโอกาสทำให้เชื้อดื้อยาได้อีกเช่นกัน ตัวอย่างการดื้อยาข้างต้น มาจากพฤติกรรมการกินยาโดยแท้ บางคนก็ฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
เพราะรู้ว่าเขาเขียนรายละเอียดติดซองยาไว้แล้ว อ่านเองก็ได้ พอกินไปได้สักพัก เห็นอาการดีขึ้นเราก็หยุด เชื้อโรคมันไม่ตาย ก็ส่งผลเสียในระยะยาว ถึงขนาดต้องเปลี่ยนยารักษาสองสามรอบ
การเปลี่ยนยาตัวใหม่ ส่งผลร้ายกว่าที่คิด
เมื่อยาตัวเก่ารักษาไม่ได้ผล คุณหมอจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้ยาปฏิชีวนะตัวใหม่ ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อที่แรงกว่า แต่เนื่องจากโรงพยาบาลแห่งนี้มีชนิดยาให้เลือกนำมาใช้กับคนไข้น้อย ทำให้หมอตัดสินใจใช้ยาแก้อักเสบตัวที่มีอยู่ซึ่งมีราคาแพง
แต่หลังเปลี่ยนยาตัวใหม่ 3 วันต่อมาก็มีอาการแย่ลงกว่าเดิม แถมมีอาการแทรกซ้อนซึ่งเกิดจากการใช้ยาอีกมากมายจนตั้งตัวไม่ติด อาเจียนตลอดเวลา ปวดหัวมากขึ้น มีไข้สูง อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เบื่ออาหาร ไม่อยากพูดคุยกับใคร
จนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทั้งที่เปลี่ยนยาแล้วทำไมอาการไม่ดีขึ้น หมอบอกว่าเป็นผลข้างเคียงจากการเปลี่ยนไปใช้ยาที่แรงขึ้น เป็นอาการแทรกซ้อนจากโรคปอดอักเสบ
การรักษาโรคของคนไข้ที่มีอาการดื้อยาปฏิชีวนะนั้นจำเป็นต้องใช้เวลา เนื่องจากลักษณะของการดำเนินโรคแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน เพราะเชื้อโรคแต่ละประเภทมีระยะเวลาในการฟักตัวแตกต่างกัน ที่สำคัญคนที่มีประวัติการดื้อยามาแล้วยิ่งรักษายาก เพราะไม่รู้ว่ายาตัวใหม่ที่ให้ไปจะรักษาได้หรือไม่
ในกรณีของนี้ซึ่งป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ หากยาที่ให้ไปไม่ได้ผล ก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนไปใช้ยาที่แรงขึ้นกว่าเดิมอีก และถ้าหยุดยากระทันหัน ไม่รักษาต่อ อาจส่งผลให้ระบบหายใจล้มเหลว มีการติดเชื้อในกระแสเลือด จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
โชคดีที่หลังจากได้รับยาปฏิชีวนะตัวที่ 3 ควบคู่กับการรับยารักษาตามอาการที่หมอให้ อาการปอดอักเสบของก็ดีขึ้นตามลำดับ ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์อาการไอลดลง ไข้ก็ลด อาการหอบหายไป
หมอบอกว่าร่างกายของเราถูกกับยาปฏิชีวนะ(ยาแก้อักเสบ)ตัวนี้นะ แต่กว่าจะรู้ก็ต้องตรวจพิเศษเพิ่มอีกหลายรายการ เสียเงินเพิ่มขึ้น เสียเวลาญาติพี่น้องที่ต้องเดินทางมาเฝ้าไข้หลายวันโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง
ทำอย่างไรจึงจะไม่ดื้อยา
1. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีประวัติการแพ้ยา เพราะยาที่เคยแพ้มักมีผลข้างเคียงกับเราโดยตรง และมีความเสี่ยงต่อการดื้อยาได้
2. ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของยาก่อนกิน เพราะยาแต่ละชนิดมีฤทธิ์ในการรักษาที่แตกต่างกัน การรู้จักข้อมูลพื้นฐานของยาเช่น ใช้รักษาโรคอะไร ผลข้างเคียงเป็นอย่างไร จะช่วยเพิ่มความระมัดระวังในการกินยาให้มากขึ้น และลดอัตราเสี่ยงต่อการดื้อยาได้เช่นกัน
3. ทำตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งในกรณีที่ดื้อยาและไม่ดื้อยา ควรใส่ใจกับรายละเอียดบนซองยา เช่น กินกี่เม็ด กี่เวลา เป็นต้น เพื่อลดโอกาสการดื้อยาต่อไป
4. อย่าหยุดกินยาเมื่ออาการดีขึ้น เนื่องจากแบคทีเรียเป็นเชื้อโรคที่พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ การกินยาไม่ครบหรือหยุดยาวกระทันหันอาจทำให้เรามีโอกาสดื้อยาได้มากกว่าเดิม
5. ไม่ควรซื้อยามากินเอง เวลาป่วยไข้ควรไปพบแพทย์ เพื่อให้หมอตรวจวินิจฉัยและจ่ายยาอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยลดอาการดื้อยาลงได้
ดังนั้นอาการดื้อยาแก้อักเสบนั้นสามารถป้องกันและหลีกเลี่ยงได้ด้วยการให้ความใส่ใจเรื่องการกินยา เพื่อป้องกันผลเสียที่จะส่งผลกระทบถึงชีวิตได้
บทความที่น่าสนใจ
- อาหารเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน นูทริก้า (Nutriga)
- ปรับภูมิคุ้มกัน รักษาภูมิแพ้เรื้อรัง
- วิตามินรวม Vistaplex เสริมสุขภาพให้กับร่างกาย