สารก่อมะเร็ง…ภัยเงียบในอาหารที่คุณไม่เคยใส่ใจ
แม้ว่าเราจะสามารถทำทุกอย่างตามหลักการแพทย์ที่กล่าวถึงในบทความที่ผ่านมาเราได้ทั้งหมด แต่เราก็อาจจะไม่รอดพ้นจากโรคเรื้อรังได้.. เพราะอะไรน่ะหรือ? สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นไม่ได้เป็นเพราะหลักการที่ว่ามาผิดหรอก
แต่เป็นเพราะในเมนูอาหารต่างๆที่เรากินยังมีสิ่งที่เป็นอันตราย จึงทำให้เป็นเรื่องยากที่เราจะรอดพ้นจากโรคเรื้อรังเหล่านี้ได้
สารก่อมะเร็ง จากอาหารปิ้งย่าง
ผลวิจัยของนักโภชนาการทั้งไทยและต่างประเทศระบุว่า ของทอด ปิ้ง ย่าง มีสารที่ชื่อว่า PAH HCA เฮทเทอโรไซคลิกเอมีนและสารอะคริลาไมด์ ซึ่งเป็น สารก่อมะเร็ง
โดยอาหารที่พบสารเฮทเทอโรไซคลิกเอมีน และสารอะคริลาไมด์ในปริมาณสูง ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่ได้รับความร้อนสูงเป็นเวลานาน เช่น อาหารที่ผ่านการทอดซ้ำหลายๆครั้ง (โดยเฉพาะอาหารประเภทโปรตีนและมันฝรั่ง)
หากเราได้รับสารนี้เข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่องจะทำให้มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งสูงมาก โดยจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งที่บริเวณลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร เต้านม ตับ และมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากนี้สารดังกล่าวยังเป็นตัวการทำให้เส้นเลือดแข็ง ทำให้เกิดโรคความดันสูงอีกด้วย
ส่วนในอาหารปิ้ง ย่าง จะมีสารก่อมะเร็งจำนวนมาก โดยเฉพาะสาร PAH(Polycyclic aromatic hydrocarbon) และ HCA (Heterocyclic amines)
เพราะสารเหล่านี้ส่วนหนึ่งจะเกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของไขมันที่อยู่ในเนื้อสัตว์ ฉะนั้นอาหารปิ้ง ย่าง อาหารทอดกรอบ อาหารรมควัน ที่ไหม้เกรียมก็จะมีสารชนิดนี้(โดยเฉพาะเนื้อติดมันจะมีมาก)
รวมถึงควันที่เกิดจากไขมันที่หยดลงบนถ่านก็จะมี สารก่อมะเร็ง ที่จะลอยมาเกาะอาหาร ฉะนั้น หากเรากินอาหารดังกล่าวบ่อยๆ สารก่อมะเร็งก็จะสะสมจนทำให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ และมะเร็งอื่นๆได้เช่นกัน
ลองมองย้อนกลับมาดูอาหารที่เรากิน ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นทอด ไก่ทอด หมูทอด กล้วยทอด มันทอด เผือกทอด เฟรนช์ฟราย (ทั้งในร้านอาหารและริมถนน)
เราเคยคิดไหมว่าเขาใช้น้ำมันที่ทอดมากี่ครั้ง และอาหารที่ทอดเสร็จแล้วยังขายไม่ได้ แล้วนำมาทอดซ้ำกี่ครั้งถึงจะขายได้ ส่วนพวกขนมถุง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดนัท ฟาสต์ฟู้ดที่เรากิน
เราเคยรู้หรือเปล่าว่าน้ำมันที่ใช้ทอดนั้นดำแค่ไหน (คุณจะตกใจถ้าได้เห็นกับตา) รู้มั๊ยว่าบางร้านอาจจะไม่เคยเปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ทอดเลยเพียงแค่เติมน้ำมันลงไปในน้ำมันเก่าที่ทอดซ้ำมาหลายๆ ครั้ง
นอกจากนี้ ยังมีบางร้านที่เอาน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพมาฟอกสีให้ใสเพื่อนำไปแบ่งถุงขายปลีกจำหน่ายในราคาถูกๆ ประเทศไทยบริโภคน้ำมันประมาณ 8 แสนตันต่อปี
โดยร้อยละ 50 เป็นการบริโภคในครัวเรือนที่เหลือก็ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร โดยมีการนำน้ำมันทอดซ้ำกลับมาแปลงเป็นพลังงานไบโอดีเซลเพียง 5% จึงน่าเป็นห่วงว่าน้ำมันทอดซ้ำที่เกิดขึ้นในกระบวนการการผลิตอาหารหายไปไหน
มีการกำจัดอย่างไร ทิ้งในสิ่งแวดล้อม? หรือมีกระบวนการฟอกเพื่อกลับมาขายให้ผู้บริโภคใหม่? เราจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่า น้ำมันที่ดูสีใสเหมือนน้ำมันใหม่ที่ขายตามตลาดนั้น ความจริงแล้วเป็นน้ำมันใหม่หรือน้ำมันเก่าที่ทอดซ้ำมาหลายครั้ง แล้วอุดมไปด้วยสารก่อมะเร็งกันแน่…
ในขณะเดียวกัน อาหารประเภทปิ้งย่างที่เรากินเป็นประจำไม่ว่าจะเป็น ไก่ย่าง หมูปิ้ง ปลาดุกย่าง เครื่องในย่าง ไส้กรอกรมควัน ปลารมควัน บาร์บีคิว สเต็ก (ทั้งในห้างหรือริมถนน)
ที่เราต่างก็เห็นว่าถูกรมด้วยควันที่มาจากถ่าน(ซึ่งมีสารก่อมะเร็ง) และมักจะมีเนื้อส่วนที่ไหม้จนดำ ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ระบุว่า พบสารก่อมะเร็งในไก่ย่าง 30% หมูปิ้ง 40% และในปลาดุกย่างสูงถึง 81%
ไม่รู้ว่าเราได้รับสารก่อมะเร็งเข้าไปในร่างกายมากแค่ไหนแล้ว และคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรายังคงเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เต้านม ตับ มะเร็งต่อมลูกหมาก ผิวหนังอยู่
สารเติมแต่งในอาหาร เสริมความเสี่ยงมะเร็ง
นอกจากอันตรายที่เกิดจากวิธีการทำอาหารแล้ว สิ่งที่ถูกใส่เพิ่มเติมลงไปในอาหารโดยฝีมือมนุษย์ ก็ยังสามารถทำให้เราป่วยหรือตายได้ เช่น สารเร่งเนื้อแดง สารกันเชื้อรา สารบอแรกซ์ สารฟอกขาว สารฟอร์มาลีน
โดยสารเหล่านี้ มักจะพบเจอในอาหารที่ขายในตลาดสด เพราะคนขายก็ต้องการให้อาหารที่ขาย ดูสดใหม่น่ากิน หรือสามารถเก็บรักษาได้นานๆ (จะได้ไม่เน่าเสีย)
- สารบอแรกซ์ หรือน้ำประสานทอง ไม่มีกลิ่น มีรสขม ทำให้อาหารมีลักษณะหยุ่น กรอบ และมีคุณสมบัติเป็นวัตถุกันเสียด้วย อาหารที่มักตรวจเจอบอแรกซ์ได้แก่ หมูสด หมูบด ปลาบด ลูกชิ้น ทอดมัน ไส้กรอก หมูยอ เกี๊ยวทอด กล้วยทอด
ผักและผลไม้ดอง ทับทิมกรอบ ลอดช่องและวุ้น (ให้สังเกตว่าอาหารจะมีลักษณะเด้งกรุบกรอบผิดปกติ)
- สารฟอร์มาลีนหรือน้ำยาดองศพ เป็นสารละลายที่มีลักษณะเป็นของเหลวใส ไม่มีสี จึงมีการนำฟอร์มาลีนมาผสมในอาหาร เพื่อให้อาหารคงความสด ไม่เน่าเสียง่ายและเก็บรักษาได้นาน
อาหารที่มักเจอฟอร์มาลีน ได้แก่ อาหารทะเล ผักสด เนื้อสัตว์สด และเครื่องในสัตว์ ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าอาหารจะไม่เน่าเสียเร็ว ปลาหรือกุ้งจะเนื้อแข็ง แล้วจะมีบางส่วนเปื่อยยุ่ย ผักจะมีลักษณะแข็งกรอบ ผิดปกติ
- สารฟอกขาว (Sodium hydrosulfite) หรือผงซักมุ้ง เป็นสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมเส้นใยไหม แห และอวน จึงมีคนนำมาใช้ฟอกขาวในอาหาร เพื่อให้มีความขาวสดใสน่ากิน
- สารฟอกขาวพบได้ในอาหารที่มีสีขาวผิดปกติ หรือไม่ใช่สีตามธรรมชาติ เช่น ถั่วงอก ขิงซอย ยอดมะพร้าว กระท้อน หน่อไม้ดอง ผักและผลไม้ดอง ทุเรียนกวน สับปะรดกวน ผลไม้อบแห้ง และน้ำตาลปี๊บ
- สารกันเชื้อรา หรือ กรดซาลิซิลิค เป็นกรดที่มีอันตรายต่อร่างกายมาก ผู้ผลิตอาหารบางรายนำมาใส่เป็นสารกันเสียในอาหารหมักดอง เพื่อป้องกันเชื้อรา และให้เนื้อของผักผลไม้ที่ดองคงสภาพเดิมน่ากิน ไม่เละง่าย
อาหารที่มักตรวจพบสารกันเชื้อรา ได้แก่ ผักและผลไม้ดอง เช่น ผักกาดดอง มะม่วงดอง สังเกตได้จากน้ำผักผลไม้ดองจะดูใสเหมือนใหม่อยู่เสมอ
- สารเร่งเนื้อแดง พ่อค้าแม่ค้าบางส่วนที่ต้องการให้เนื้อหมูเนื้อวัวดูสีแดงน่ากิน ก็จะใส่สารเร่งเนื้อแดง เราจะสังเกตได้ว่าเนื้อนั้นจะมีสีแดงผิดปกติ สารเร่งเนื้อแดงจะทำให้มือสั่น
กล้ามเนื้อกระตุก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน มีอาการทางจิตประสาท
จะเห็นว่า อาหารที่มักจะใส่สารอันตรายลงไปคือ อาหารที่เรากินเป็นประจำนั่นเอง ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขที่ระบุว่า มากกว่า 50%ของผู้ป่วยโรคมะเร็งในไทยมีต้นเหตุมาจากสารพิษในอาหารนั้นเอง
สารพิษในเนื้อสัตว์
ปัจจุบันมีคนจำนวนมาก ที่นิยมกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก เช่น เนื้อหมู วัว ไก่ โดยหารู้ไม่ว่าในเนื้อสัตว์นั้นเป็นแหล่งสะสมสารพิษมากมาย เช่น ยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ฮอร์โมนเร่งให้มีไขมันมากที่จะตกค้างในเนื้อสัตว์ที่เราซื้อมากิน ซึ่งทำให้เราเป็นโรคมะเร็งและโรคอื่นๆได้
นอกจากนี้เมนูอาหาร เช่น แหนม ไส้กรอก แฮม กุนเชียง ก็มักจะใส่ดินประสิวหรือเกลือไนไตรท์ (สารก่อมะเร็งชนิดไนโตรซามีน) ก็จะทำให้เราเป็นโรคมะเร็งบริเวณกระเพาะอาหารและบริเวณตับได้อีกด้วย
ซีฟู้ดอุดมด้วยสารพิษ
หลายคนชอบกินปลาทะเลสดๆที่มีตู้โชว์ให้สัตว์ลงไปว่าย โดยหารู้ไม่ว่าร้านอาหารบางร้านอาจใส่ไซยาไนด์ คอแรม และยาเหลืองลงในตู้ เพื่อฆ่าเชื้อและให้ปลาอยู่ได้นานจนกว่าจะมีผู้บริโภคมาชี้ที่ตู้ว่าจะกินตัวไหน
สารเหล่านี้จะตกค้างในตัวสัตว์ทะเล พอกินเข้าไปก็อาจจะทำให้เป็นมะเร็ง หรือเกิดอาการไตวายเฉียบพลันถึงแก่ชีวิตได้ และอาหารทะเลก็อาจจะถูกชาวประมงใส่ฟอร์มาลีนตั้งแต่จับได้แล้ว
เพื่อไม่ให้เน่าเร็ว รวมถึงการปนเปื้อนน้ำมันจากเรือต่างๆ ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีโอกาสได้รับสารพิษจากอาหารทะเล ไม่ว่าจะกินแบบสดหรือไม่สดก็ตาม (หลีกเลี่ยงได้ยาก)
ถึงจะเป็นสัตว์น้ำที่ได้มาจากฟาร์มเลี้ยงโดยเฉพาะ เช่น ฟาร์มกุ้ง คนเลี้ยงจะใส่สารเคมี เช่น ยาปฏิชีวนะลงไปในบ่อปริมาณมากๆ เพื่อให้มันไม่ป่วยเป็นโรคและตายยกบ่อ
ซึ่งสารเคมีที่เป็นอันตรายเหล่านี้ก็จะตกค้างในตัวสัตว์น้ำที่เรากินกัน ถ้าใครรู้จักคนเลี้ยงกุ้งเหล่านี้จะรู้ดีว่าเขาจะไม่กินสัตว์ที่เขาเลี้ยงเพื่อขายเลย ถ้าจะกินเองก็เลี้ยงเอาไว้ต่างหากแล้วไม่ใส่สารเคมีลงไป
สารพิษที่มาพร้อมกับผักผลไม้
กรมวิชาการเกษตรรายงานว่า 99% ของสารเคมีเหล่านี้จะตกค้างในสิ่งแวดล้อม จะตกค้างในพืชประมาณ 41% ซึ่งติดอยู่บนผิวของผักผลไม้มาสู่มือเรา นอกจากนี้ สารเคมีที่ตกค้างในน้ำและดินก็จะถูกต้นไม้ดูดซึมเข้าไป
ทำให้มีสารเคมีเหล่านี้เลยอยู่ภายในผักผลไม้ไปด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกษตรกรมีอัตราการเป็นมะเร็งชนิดต่างๆเพิ่มมากขึ้น เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งสมอง มะเร็งเนื้อเยื่อ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก
ด้วยปริมาณสารพิษตกค้างที่มากมายขนาดนั้น เราคงจินตนาการได้ไม่ยากว่าผักผลไม้ที่เราซื้อกินจะมีปริมาณสารพิษมากแค่ไหน?
ความจริงแล้วผักปลอดสารพิษ (และผักอนามัย) ส่วนใหญ่ไม่ได้ปลูกโดยใช้สารเคมี เพียงแต่อาจจะลดสารเคมี หรือใช้วิธีอื่นๆ เข้ามาช่วย เช่น ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ สารสกัดจากสมุนไพรไทย
ผักเหล่านั้นจะไม่ได้ปลอดจากสารพิษโดยสิ้นเชิงอย่างที่เราเข้าใจกัน เราจะต้องกินผักอินทรีย์หรือผักออแกนิกถึงจะปลอดจากสารเคมี
ผักที่เรากินเข้าไปประมาณครึ่งหนึ่งยังคงมีสารเคมีตกค้าง เราจึงต้องล้างผักให้สะอาดก่อนกินโดยเฉพาะผักที่เป็นใบห่อ เช่น กะหล่ำปลี ที่จะมีการฉีดยาจำนวนมาก
ส่วนผลไม้นั้นสารพิษมักจะตกค้างที่เปลือก หากเราปอกเปลือกออกหรือล้างเปลือกให้สะอาด รวมถึงหลีกเลี่ยงการกินผลไม้ทั้งเปลือก เช่น ฝรั่ง แอปเปิ้ล องุ่น สตรอว์เบอร์รี่ เชอร์รี่
ก็จะช่วยลดโอกาสได้รับสารพิษตกค้างได้บ้าง แต่ก็จะทำให้เราได้รับสารอาหารน้อยลงเพราะสารอาหารที่สำคัญมักจะอยู่ที่ตัวของผลไม้ที่กินเปลือกได้
และด้วยเหตุที่สารเคมีที่ตกค้างในผักผลไม้หลายๆ ชนิดนั้นมีอันตรายจนหลายประเทศไม่นำเข้าผักผลไม้จากไทย เพราะมีสารเคมีเกินมาตรฐานความปลอดภัย เราคงคาดเดาได้ไม่ยากว่าผักผลไม้ที่มีสารพิษตกค้างน้อยหรือไม่มีสารพิษตกค้างเลย
ก็จะถูกส่งออกไปขายยังต่างประเทศ ส่วนผักผลไม้ที่เหลือที่มีสารพิษตกค้างมากเราก็จะบริโภคกันเองในประเทศ
เช่นเดียวกันกับอาหารหลักของคนไทยอย่างข้าวสาร ที่โรงสีหลายๆแห่งก็ต้องป้องกันข้าวจากแมลงสาบ มอด และแมลงต่างๆ ด้วยการฉีดยาฆ่าแมลงลงไปที่เมล็ดข้าวโดยตรง ด้วยเหตุนี้ในข้าวที่เรากินจึงมีสารพิษเจือปนอยู่ไม่น้อย
เส้นก๋วยเตี๋ยวแฝงสารพิษ
แม่ค้าอาหารมักจะสั่งเส้นก๋วยเตี๋ยวมาจากโรงงาน ซึ่งโรงงานบางแห่งก็อยู่ต่างจังหวัดหรืออยู่คนละภาค จึงต้องมีการใส่สารกันบูดเพื่อให้เส้นสามารถอยู่ได้หลายวัน ไม่เน่าเสียในระหว่างขนส่ง
ซึ่งสารกันบูดจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง ที่สำคัญก็คือ โรงงานจะต้องใส่น้ำมันลงไปในเส้นที่ทำเสร็จแล้ว เพื่อไม่ให้เส้นติดกันและน่ากิน
ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า โรงงานกว่า 95% ใช้น้ำมันทอดซ้ำในกรรมวิธีขึ้นรูปแผ่นก๋วยเตี๋ยว เนื่องจากมีความหนืดกว่าน้ำมันใหม่ (ซึ่งในน้ำมันเก่าจะมีสารก่อมะเร็ง)
อาหารริมถนนปลอดภัยหรือไม่
นอกจากเรื่องความสะอาดของอาหารแล้ว คนจำนวนมากที่ต้องซื้ออาหารที่ทำหรือขายตามริมถนน ก็จะได้รับสารตะกั่วจากควันรถที่วิ่งไปมา ที่จะลอยมาปนเปื้อนอาหาร
ซึ่งพอเรากินเข้าไปร่างกายจะขับออกมาได้ส่วนหนึ่ง ที่เหลือจะสะสมอยู่ในร่างกายเราจนส่งผลให้เกิดอาการสมองเสื่อม มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดท้อง เบื่ออาหาร ท้องเสีย ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง จนอาจไตวายหรือตายได้
ครัวตามร้านอาหารสะอาดแค่ไหน
เราเคยตั้งคำถามเกี่ยวกับความสะอาดในห้องครัวกันบ้างหรือไม่? พ่อครัวตามร้านอาหารทำความสะอาดบ่อยแค่ไหน สภาพในห้องครัวเป็นอย่างไร เขาล้างอุปกรณ์ทุกครั้งที่ใช้หรือไม่
เขาล้างมือหรือเปล่า เขาเข้าห้องน้ำก่อนทำอาหารให้เราหรือไม่ ล้างผักหรือเปล่า ใช้วิธีไหนเก็บรักษาอาหาร โดยเฉพาะร้านที่มีสาขามากๆ ที่ไม่ได้ผลิตอาหารที่ร้าน และเขาใช้วิธีไหนในการป้องกันไม่ให้ในห้องครัวมีหนูหรือแมลงสาบเข้ามา
น้ำแข็งแฝงสารปนเปื้อน
เวลาที่ไปกินอาหาร เราก็มักจะดื่มเครื่องดื่มพร้อมกับน้ำแข็ง โดยไม่รู้เลยว่าเรากำลังรับเชื้อโรคเข้าไปมากน้อยแค่ไหน เพราะโรงน้ำแข็งจำนวนมากมายไม่ได้มาตรฐานความสะอาดเลยสักนิด
เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าน้ำที่นำมาทำน้ำแข็งน้ำได้รับการฆ่าเชื้อโรคหรือไม่ รวมถึงขั้นตอนการผลิต การขนย้าย การขนส่งน้ำแข็งต้องผ่านมือคนจำนวนมากต้องผ่านพื้นที่คนงานเดินไปเดินมารวมถึงเชื้อโรคบนรถบรรทุกน้ำแข็งที่เก็บน้ำแข็งในร้านอาหาร
คิดแล้วก็คงเป็นเรื่องยาก ที่น้ำแข็งที่เรากินเข้าไปจะมีความสะอาดปลอดภัย ปราศจากเชื้อโรคหรือสารอันตรายต่างๆ
ภาชนะใส่อาหารที่ไม่ปลอดภัย
นอกจากสารพิษในอาหารแล้ว ภาชนะที่ใช้ในการประกอบอาหารเป็นประจำ (หม้อ กระทะ) รวมถึงภาชนะที่ใช้กินอาหาร เช่น จาน ช้อน ก็อาจมีสารตะกั่วปนเปื้อน จากภาชนะที่ใช้โลหะผสมคุณภาพต่ำ
คนที่กินอาหารนอกบ้านก็มีความเสี่ยงจากหม้อที่พ่อค้าแม่ค้าใช้ในการต้มก๋วยเตี๋ยว หรือทำข้าวแกงให้เรากิน ซึ่งถ้าใช้ของที่คุณภาพไม่ดี เราก็มีโอกาสได้รับสารตะกั่วเข้ามาในร่างกายเราด้วยเช่นกัน
ถึงตรงนี้แล้วเราก็คงพอจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้วว่า ทำไมคนที่สามารถปฏิบัติตัวตามหลักที่แพทย์แนะนำ ก็อาจจะไม่รอดพ้นจากโรคเรื้อรังอยู่ดี โดยเฉพาะโรคมะเร็ง
ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ ถึงแม้ว่าบางคนจะพยายามดูแลตัวเองอย่างดีในระดับนึงแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้นได้ เพราะขาดความใส่ใจในเรื่องการบริโภคที่สำคัญต่อชีวิตประจำวัน
- เครื่องดื่มเอนไซม์ S.O.D สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระ
- 5 อาหารเสริมต้านมะเร็งที่คุณควรทานเป็นประจำ
- ปรับสมดุลจากอาหารที่ทานเพื่อต้านมะเร็ง